ปี 2567 เป็นปีที่พรรคก้าวไกลอาจจะก้าวต่อไปในปีนี้อย่างเจ็บๆ โดยตั้งแต่ในเดือนมกราคม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีนัดฟังทำวินิจฉัยในหลายคดีจากหลายศาล
24 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ สส. ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สิ้นสุด แม้ศาลฯ จะวินิจฉัยว่า ในวันรับสมัครเลือกตั้ง สส. พิธายังถือหุ้นของบริษัทไอทีวีอยู่ แต่เนื่องจากบริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ และไม่มีหลักฐานว่าบริษัทไอทีวีได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการ ณ วันที่ผู้ถูกร้องสมัคร สส. จึงทำให้มิได้มีลักษณะต้องห้ามในการเป็น สส.
31 มกราคม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงอนาคตล่วงหน้าว่า พรรคก้าวไกลจะถูกยุบเมื่อไหร่?
ต่อมา 5 กุมภาพันธ์ ศาลแขวงปทุมวันอ่านคำพิพากษา กรณี ณัฏฐา มหัทธนา, พริษฐ์ ชีวารักษ์, ธนวัฒน์ วงค์ไชย, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร จากเหตุการณ์ชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2562 หลัง กกต. มีมติยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ จากคดีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจาก ธนาธร 191 ล้านบาท
โดยศาลพิจารณาแล้วสั่งจำคุกคนละ 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ส่วนความผิดตามข้อหาอาญาและความผิดพินัยไม่แจ้งการชุมนุม และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมปรับ 11,200 บาท
การต้องส่งไม้ต่อของพรรคอนาคตใหม่สู่พรรคก้าวไกล พรรคที่สืบทอดเจตนารมณ์ทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ พร้อมทั้งมีสีของพรรคเดียวกัน ทำให้แม้ชื่อพรรคจะเปลี่ยนไป แต่พรรคก้าวไกลก็ยังคงถูกเรียกว่า ‘พรรคส้ม’ เช่นเดียวกับพรรคอนาคตใหม่
แต่นอกจากสืบทอดเจตนารมณ์ทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่แล้ว การเป็นพรรคส้มเหมือนกัน จะมีชะตากรรมของพรรคเหมือนเดิมอย่างการถูกยุบพรรคหรือไม่
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าการกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกลเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ถือเป็นการล้มล้างการปกครองฯ คำวินิจฉัยนี้อาจนำมาสู่การยุบพรรคได้หากมีผู้ยื่นร้องต่อศาล
1 กุมภาพันธ์ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย ว่า ขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92(1) (2) อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในคดีดังกล่าว จะผูกพันถึง กกต. ที่ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถือเป็นความปรากฏ
หาก กกต. ส่งเรื่องมายังศาลรัฐธรรมนูญและมีการดำเนินการไต่สวนแล้ว เชื่อได้ว่า พรรคการเมืองนั้นๆ ซึ่งกรณีนี้คือก้าวไกล กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)
กก.บห. ชุดพิธา ซึ่งดำรงตำแหน่งขณะถูกร้องว่าล้มล้างการปกครองมี 10 คน ในจำนวนนี้มีอยู่ 7 คนที่เป็น สส. ในสภา ประกอบด้วย
ส่วน กก.บห. ชุดปัจจุบัน ประกอบด้วย
ทั้งนี้พรรคก้าวไกล เปลี่ยนโครงสร้าง กก.บห. โดยกำหนดให้รองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค ไม่นับเป็น กก.บห. ตามกฎหมาย ซึ่งหากถูกยุบพรรค กก.บห. ชุดที่พิธาเป็นหัวหน้าพรรคจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี เหมือนกับที่ กก.บห.ของพรรคอนาคตใหม่เคยถูกตัดสิทธิมาแล้ว
ร้องต่อที่ 2 ยื่นต่อ ป.ป.ช. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระ พร้อมกับคณะศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ยื่นหนังสือร้องเรียนกับ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดจริยธรรมของ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ที่ร่วมเสนอชื่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่...พ.ศ.... โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในข้อหาผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
สำหรับ 44 รายชื่อ สส. ที่ร่วมยื่นแก้ 112 เมื่อปี 2564 ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง สส. อยู่ 31 คนได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ศิริกัญญา ตันสกุล, เบญจา แสงจันทร์, เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร, ปดิพัทธ์ สันติภาดา (ปัจจุบันสังกัดพรรคเป็นธรรม), ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, รังสิมันต์ โรม, ธีรัจชัย พันธุมาศ, ญาณธิชา บัวเผื่อน, นิติพล ผิวเหมาะ, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์, ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, วรภพ วิริยะโรจน์, คำพอง เทพาคำ, จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์, จรัส คุ้มไข่น้ำ, สุเทพ อู่อ้น, ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์, อภิชาติ ศิริสุนทร, องค์การ ชัยบุตร, ศักดินัย นุ่มหนู, มานพ คีรีภูวดล, วาโย อัศวรุ่งเรือง, วรรณวิภา ไม้สน, สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ, วุฒินันท์ บุญชู, สมชาย ฝั่งชลจิตร และ สุรวาท ทองบุ
ส่วนอีก 13 คน ได้แก่ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์, กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี, พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์, ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์, สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา, สมเกียรติ ถนอมสินธุ์, ทองแดง เบ็ญจะปัก, พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ, ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์, ทวีศักดิ์ ทักษิณ (ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษา มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) และ สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล
ซึ่งความรุนแรงของการยื่นสอบจริยธรรม สส. ต่อ ป.ป.ช. อาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต โดยสามารถยกกรณีของ พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาเป็นกรณีศึกษาได้
กรณี ช่อ-พรรณิการ์ นั้น เริ่มต้นจากศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (ขณะนั้น) ยื่นหนังสือให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ พรรณิการ์ กรณีโพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทางที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องของสถาบันฯ เป็นพฤติการณ์หรือการกระทำที่ส่อไปในทางขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ต่อมา ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูลเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 พรรณิการ์ ผิดจริยธรรมร้ายแรง จึงส่งเรื่องฟ้องต่อศาลฎีกา
20 กันยายน 2566 ศาลฎีกามีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีพ เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม หลังโพสต์ข้อความพาดพิงสถาบัน นอกจากนี้ ยังไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ แต่ยังคงมีสิทธิไปเลือกตั้งได้
วิบากกรรมพรรคส้ม ที่มักจะพ่วงด้วยว่า ‘ล้มเจ้า’ ข้อครหานี้ในปัจจุบันถูกนำมาใช้เล่นงานพรรคส้มทางกฎหมายอย่างชัดเจน แม้พรรคก้าวไกลในตอนนี้จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน และเดินเกมด้วยการให้ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ย้ายพรรค เพื่อคงตำแหน่งรองประธานสภาไว้ ก็ดูจะไม่ได้ช่วยปูพรมให้พรรคก้าวไกลเดินในสภาอย่างราบรื่นมากนักในเกมการเมืองครั้งนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือเสียงมากสุดในสภายังคงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ครั้งหนึ่งเคยเตรียมจับมือร่วมตั้งรัฐบาลด้วยกัน แต่ไม่สำเร็จ โดยมีข้อแม้สำคัญคือเรื่องท่าทีต่อมาตรา 112 ที่พรรคร่วมอื่นๆ ไม่เห็นด้วย
อนาคตงานในสภาของพรรคก้าวไกล การเป็นฝ่ายค้านรอบ 2 คงไม่ต่างกับการทำหน้าที่ สส. ในสมัยที่ผ่านมาเท่าไรนัก สิ่งสำคัญในตอนนี้ของพรรคคงเป็นเรื่องชี้แจงต่อ กกต. หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ ต่อข้อกล่าวหาต่างๆ จากนักร้องทั้งหลาย เพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ของตน เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าล้มล้างการปกครองฯ ถือเป็นสิ่งที่พรรคส้มยังคงต้องแบกไว้จนกว่าจะมีการยุบพรรค เวลาของพรรคก้าวไกล และเส้นทางการเป็นพรรคส้มจะซ้ำรอยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับศาลจะรับคำร้องของนักร้องต่างๆ หรือไม่
กรณีเลวร้ายสุดที่จะเกิดขึ้นได้กับก้าวไกล คือ ถูกยุบพรรค ทำให้ กก.บห.และอดีต สส. ที่เคยสนับสนุนการแก้มาตรา 112 รวมจำนวน 31 คน จะหมดสิทธิทางการเมือง
หาก สส. 31 ของพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง นั่นจะทำให้ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ที่ปัจจุบันมี สส. ปฏิบัติหน้าที่ 147 คน จะเหลือเพียง 116 คน และ สส. ทั้งหมดนี้จะต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน รวมทั้งรองประธานสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา ก็จะถูกตัดสิทธิไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้น สถานะพรรคอันดับหนึ่งในสภาก็จะเป็นของพรรคเพื่อไทย ที่ยังมี สส. รวมทั้งหมด 141 คน ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น พรรคส้มร่างสาม ก็อาจจะต้องถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับ สส. และรับไม้ต่ออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่อนาคตใหม่และก้าวไกล
กล่าวกันว่า พรรคส้มนั้นยิ่งยุบยิ่งโต เพราะจากความสำเร็จในการเลือกตั้ง 2562 ถูกตอบโต้ด้วยการยุบอนาคตใหม่ และชัยชนะถล่มทลายของพรรคก้าวไกลในปี 2566 กำลังจะจบลงที่การยุบพรรคและล้างบาง สส. บางส่วน คงต้องจับตาดูอนาคตว่า เมื่อพรรคส้มภาคสองถึงวันอวสาน ภาคสามจะโตอย่างไร อุดมการณ์ที่เป็นกระดูกสันหลัง (แต่เป็นตัวการทำให้พรรคถูกทุบและยุบซ้ำๆ) จะยังคงอยู่หรือไม่ เลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะทำให้ทุกอย่างปรากฏชัดเจนมากขึ้น ว่าคนไทยหลายสิบล้านที่เลือกอุดมการณ์ก้าวไกล จะพร้อมกาให้พรรคส้มใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่า โปรดติดตามชม
© ไทยนิวส์เอ็กซ์เพรส