ค้นหาอย่างรวดเร็ว
วันนี้:

เช็กลิสต์ปี 68 รัฐบาลจัดหนัก…เตรียมแจกอะไรบ้าง ปลุกเศรษฐกิจ เอาใจประชาชน

Jan 3, 2025 AI IDOPRESS

ในปี 2568 นอกจากจะเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเศรษฐกิจไทย ว่าจะสามารถฟื้นกลับขึ้นมาโตเกิน 3% ได้หรือไม่ หลังจากต้องจมปลักอยู่ในกับดักเศรษฐกิจโตต่ำ 1-2% มาตลอดนับสิบปีแล้ว

แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วยว่า จะเรียกพลังศรัทธาจากประชาชนได้สำเร็จหรือไม่ หลังเข้ามาบริหารประเทศครบสองปีเต็มๆ และนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็เข้ามานั่งบริหารประเทศครบ 1 ปีพอดี

ดังนั้น เป้าหมายการฟื้นคืนเศรษฐกิจไทย จึงเป็นโจทย์ใหญ่โจทย์หินที่สุดของรัฐบาล โดยตัวรัฐบาลเองก็รู้ดีเช่นกัน ซึ่งนายกฯ อิ๊งค์ ได้ประกาศแคมเปญปักธงให้ปี 68 เป็นปี “โอกาสไทย ทำได้จริง”พร้อมกับมุ่งเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจหลายอย่างทั้ง ล้างหนี้ แจกเงิน เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายภาคประชาชน ซึ่งในโอกาสที่มีการเปลี่ยนศักราชใหม่ปีนี้ ทีมข่าวเศรษฐกิจ เดลินิวส์ พาไปฉายภาพไทม์ไลน์ทั้งปี 2568 ว่ารัฐบาลจะมีโครงการอะไรที่ออกมาโดนใจประชาชนบ้าง

อัดกระสุนงบ 1.8 แสนล้าน

แต่ก่อนจะไปดูโครงการสารพัดแจกต่างๆ เราไปดูทิศทางเศรษฐกิจปี 68 กันก่อน ซึ่งประเมินว่าไม่ง่ายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปัญหาจากภายนอกประเทศ ซึ่งการมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะออกนโยบายอเมริกันเห็นแก่ตัว จะทำให้เศรษฐกิจการค้าโลกติดหล่ม และกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไปด้วย ไม่ว่าจะการถูกรีดภาษีนำเข้าโดยตรงจากสหรัฐ หรือการส่งออกที่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจประเทศ ก็จะโตลดลง ซึ่งจากปี 67 โต 5% แต่มาปี 68 จะเหลือ 2% เช่นเดียวกับทิศทางสินค้าเกษตร มีแนวโน้มขายไม่ได้ราคาเหมือนก่อน

ดังนั้น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในปี 68 จึงจะมาจากกำลังภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคประชาชน หรือภาคการลงทุน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมกระสุนไว้ใช้หลายทิศทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่จากงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.8 แสนล้านบาท เงินตามมาตรา 28 ที่รัฐบาลยืมมือธนาคารรัฐ ให้ออกใช้ไปก่อนแล้วทยอยผ่อนคืนทีหลังอีกหลายหมื่นล้าน ไม่นับรวมการใช้มาตรการทางการคลัง เช่น การลดภาษีต่างๆ อีก

ประเดิมลดหย่อนภาษี 5 หมื่น

วางไทม์ไลน์กันคร่าว ๆ โครงการใหญ่ที่รัฐบาลจะเริ่มแจก มีมาตั้งแต่ต้นปี ม.ค. 68 คือ มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 50,000 บาท ซึ่งกำหนดเริ่มวันที่ 16 ม.ค. 68 ถึง 28 ก.พ. 68 โดยให้ประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการที่กำหนด กับร้านค้าที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ มาใช้ลดหย่อนภาษีในปี 68 ได้

แต่มีเงื่อนไขวงเงินลดหย่อนภาษีนั้นจะต้องซื้อสินค้าและบริการทั่วไป ได้ 30,000 บาท ซึ่งยกเว้น สุรา ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซ รถยนต์และจักรยานยนต์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเบี้ยประกัน ค่าบริการนำเที่ยว ค่าที่พัก และอีกส่วน 20,000 บาท สำหรับใช้ซื้อในในสินค้าโอทอป สินค้าหรือบริการของวิสาหกิจชุมชน โดยประเมินว่ามาตรการนี้จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายช่วง 2 เดือนประมาณ 70,000 ล้านบาท และหากใช้สิทธิลดหย่อนได้เต็มสิทธิ คนนั้นก็ได้รับเงินภาษีคืนสูงสุดถึงคนละ 10,000-15,000 บาท เลยทีเดียว

แจกเงินสูงวัย 10,000 บาท

ถัดมาในเดือนเดียวกันนี้ รัฐบาลกำหนดแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือเรียกง่ายๆเงินดิจิทัล เฟสสอง โดยจะแจกเงินสด 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ จำนวน 4 ล้านคน แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท โดยขั้นตอนหลังจากผ่าน ครม. ไปแล้วต่อจากนี้กระทรวงการคลังจะนัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุม เช่น ดีจีเอ มาตรวจสอบคุณสมบัติผู้รับสิทธิ

ต่อจากนั้นจะมีการประกาศให้ตรวจสอบสิทธิได้ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เพื่อเตรียมแจกเงินได้ทันใช้ก่อนสิ้นเดือน ม.ค. หรือไม่เกิน 29 ม.ค. 68โดยวิธีการจ่ายจะเป็นเงินสดผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประจำตัวประชาชน ดังนั้นช่วงนี้ใครรู้ตัวว่าจะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็เตรียมตัวไปเปิดบัญชีพร้อมเพย์กันไว้เนิ่นๆ ได้เลย โดยโครงการนี้รัฐบาลจะดึงเงินงบกลางที่เตรียมไว้ 1.8 แสนล้านบางส่วนประมาณ 3-4 หมื่นล้าน ออกมาใช้ก่อน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 68 ทำให้จีดีพีขยายตัว 0.1%

เปิดบัตรคนจนรอบใหม่

นอกจากนี้ ในช่วงปลายไตรมาสแรก รัฐบาลก็กำหนดเปิดลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิลงทะเบียนรอบใหม่กว่า 25 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ที่มีสิทธิในปัจจุบัน 14.5 ล้านคน และอีก 10 ล้านคน เป็นกลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อน ซึ่งมากจากประชาชนที่อายุครบ 18 ปี และกลุ่มที่เคยลงทะเบียนแล้ว แต่ไม่ได้รับสิทธิ

สำหรับรายละเอียดการเปิดลงทะเบียน ผู้มีสิทธิเดิม 14.5 ล้านคน ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยรัฐบาลจะนำรายชื่อไปตรวจสอบว่าเข้าเกณฑ์ใหม่หรือไม่ ส่วนกลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยรับสิทธิมาก่อน จะต้องลงทะเบียนช่วงก่อนสิ้นเดือน มี.ค. 68 โดยวิธีลงทะเบียนเบื้องต้น อาจให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” หรือวิธีอื่นให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชน ขณะที่รายละเอียดของกฎเกณฑ์เงื่อนไข จะอิงจากเดิม คือ รายได้บุคคล และรายได้ครัวเรือน เกณฑ์การถือครองทรัพย์สิน ส่วนสวัสดิการที่จะแจกนั้น ก็ต้องทบทวนใหม่เช่นกัน ซึ่งอาจจะมีเพิ่มมีลด แต่ยังไม่ได้สรุปในตอนนี้

รอรับ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3

มาตรการต่อมาจะเกิดขึ้นช่วงไตรมาสสอง คือ อภิมหาโปรเจกต์ใหญ่ ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ที่เลื่อนมาแล้วหลายรอบ โดยรอบนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด รัฐบาลจะเริ่มแจกเงินได้ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 68 ซึ่งปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างพัฒนาระบบแอปทางรัฐ ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือดีจีเอ ที่จะใช้เป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับเชื่อมโยงการใช้จ่ายเงินดิจิทัล กับร้านค้า และสถาบันการเงินต่างๆ ผ่านระบบโอเพ่น ลูฟ

ปัจจุบัน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีการเปิดลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ไปแล้ว มีคนเข้าร่วม 36 ล้านคน แต่ระหว่างทางรัฐบาลได้แบ่งจ่ายให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งบัตรคนจน ผู้พิการ ผู้สูงอายุไปแล้วกว่า 17-18 ล้านคน ดังนั้น จึงจะเหลือคนที่รอลุ้นรับสิทธิอีกไม่เกิน 20 ล้านคน รวมถึงคนที่เข้ามาลงทะเบียนใหม่ ในกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ตโฟน จึงต้องมาดูกันว่าหลังผ่านการตรวจสอบสิทธิไปแล้วจะเหลือคนได้สิทธิกี่คน

แต่เบื้องต้นคาดว่าโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 นี้ จะใช้งบกลางในส่วนที่เหลือทั้งหมด ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1.4-1.5 แสนล้านบาท เป็นใบพัดสำคัญที่คอยประคองเศรษฐกิจไตรมาส 2 ให้เดินหน้าได้ สำหรับรายละเอียดเงื่อนไข ยังคงเป็นเหมือนเดิมคือต้องใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลเท่านั้น ไม่ได้แจกเป็นเงินสดเหมือน 2 เฟสแรก รวมถึงต้องใช้จ่ายซื้อสินค้าในอำเภอ พร้อมกับมีสินค้าต้องห้ามที่ห้ามซื้อ เป็นต้น

ปลุกท่องเที่ยวโลว์ซีซั่น

ผ่านไตรมาสสองไปแล้ว ก็จะเข้าสู่ครึ่งปีหลัง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเงียบเหงาที่สุด เพราะตรงกับฤดูฝน การใช้ง่ายอะไรก็ไม่สูงนัก อีกทั้งภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็จะเข้าสู่ฤดูโลว์ซีซั่น ซึ่งคนไทยคนต่างชาติท่องเที่ยวน้อยลง เม็ดเงินที่เคยสะพัดตามจังหวัด หัวเมืองต่างๆ ก็จะหายตามไป จึงจำเป็นต้องอาศัยแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐบาลออกมา

สำหรับแนวทางการกระตุ้น หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ชิงลางออกมาตรการแอ่วเหนือคนละครึ่งไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ได้รับความสนใจเยอะ แต่มีเงิน และสเกลโครงการเล็ก ทำให้ไม่ค่อยปังเท่าที่ควร ฉะนั้นในไตรมาสสามนี้ อาจเห็นมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวชุดใหญ่ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง โดยรัฐบาลจะมาช่วยซัพพอร์ตค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าท่องเที่ยวให้ประชาชน หรือ การเปิดให้นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ ทั้งเป็นรายบุคคล หรือรายบริษัท เพื่อแลกกับการกระตุ้น ให้คนไทยเที่ยวไทย กระจายรายได้ในช่วงโลว์ซีซั่นไปสู่ต่างจังหวัด

บ้านเพื่อคนไทย 3 ทำเลทอง

หลังจากดูโครงการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อไปแล้ว ก็มาดูโครงการลดค่าครองชีพกันมาก โครงการเรือธงของรัฐบาล คือ บ้านเพื่อคนไทย โดยในปี 68 จะนำร่องเอาที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีทำเลไปมาสะดวก มาสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่คนไทยผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาดภายในเดือน ม.ค. 68 จะเปิดให้ดูบ้านตัวอย่างได้เป็นวันแรก รวมทั้งเปิดให้จองลอตแรกจำนวน 4,410 ห้อง ขายหน่วยละ 9 แสน-1.6 ล้านบาท

กำหนดพื้นที่สำหรับจัดทำโครงการ 3 แห่งแรก ได้แก่ 1.บริเวณสถานีรถไฟเชียงราก แลนด์พลอตมีพื้นที่ใหญ่สามารถสร้างได้กว่า 2,000 ห้อง 2.บริเวณสถานีรถไฟธนบุรี จำนวนกว่า 1,000 ห้องและ 3.ย่าน กม.11 อยู่ด้านหลังสำนักงานใหญ่ ปตท. จำนวนกว่า 1,000 ห้อง

ในเฟสแรก บ้านเพื่อคนไทย ออกแบบ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ทั้งหมด มี 2 แบบให้เลือก คือ แบบ 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร กับแบบ 2 ห้องนอน 40-51 ตารางเมตรโดยให้ซื้อได้แบบไม่ต้องดาวน์ พร้อมกับดึงธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาช่วยปล่อยกู้ระยะยาว 30-40 ปี คิดดอกเบี้ยต่ำ 2.5% ต่อปี เช่นหากวงเงินกู้ซื้อ 9 แสนบาท ระยะเวลา 30 ปี มีค่างวดผ่อนแค่เดือนละ3,556 บาท เรียกว่าถูกกว่าค่าเช่า และยังสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

ฝันเป็นจริง 20 บาทต่อสาย

ปิดท้ายกันอีกหนึ่งโปรเจกต์ยักษ์ลดค่าครองชีพ สำหรับคนเมืองและปริมณฑล กับโครงการตั๋วร่วม รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งที่ผ่านมา ต้องยอมรับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากของคนเมือง มีสาเหตุสำคัญมาจากค่าเดินทางที่ราคาแพง เช่น ค่ารถเมล์เริ่มต้น 15 บาท ค่ารถไฟฟ้าราคาแพง โดยราคาสูงสุดอย่างบีทีเอสเที่ยวละ 62 บาท ยังไม่นับรวมการต่อรถไฟฟ้าสายอื่น ก็เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือลงรถไฟฟ้าแล้วก็ต่อรถมอเตอร์ไซค์ สองแถวอีก เรียกว่าค่าเดินทางคิดเป็น 1 ใน 3 ของค่าแรงขั้นต่ำเลยทีเดียว

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้นำร่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไปแล้ว 2 สาย ได้แก่ สายสีม่วง และสายสีแดง ซึ่งผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี คือประชาชนใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็สูญเสียรายได้ในการอุดหนุนเพียงหลักไม่กี่ร้อยล้านบาท แต่ในปี 68 นี้ รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือจะมีการขยายโครงการ 20 บาทออกไปครบรถไฟฟ้าทุกสีโดยขณะนี้หลังจาก พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ผ่านเห็นชอบของ ครม. ไปแล้ว กระทรวงคมนาคมก็จะเร่งผลักดันตามขั้นตอนเข้าสภา เพื่อให้คิกออฟเริ่มใช้ตั๋วร่วมได้ในเดือน ก.ย. 68

สำหรับรายละเอียดการดำเนินการ เบื้องต้นจะตั้ง “กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม” เพื่อใช้เป็นกลไกอุดหนุนดูแลค่าตั๋วร่วม 20 บาท ส่วนแหล่งเงินที่นำมาใช้จะมีที่มากอย่างหลากหลาย ทั้งเงินทุนประเดิม เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ค่าใช้บริการ เป็นต้น โดยตามเป้าหมาย ระบบตั๋วร่วม จะเริ่มใช้ได้ภายในเดือน ก.ย. 68 ซึ่งจะช่วยลดค่าครองชีพให้คนไทยได้มาก หลังจากที่ผ่านมาล่าช้ามานานเป็น 10 ปี

มาตรการเหล่านี้ ยังไม่นับรวมมาตรการยิบย่อยระหว่างทาง เช่น การกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มาตรการส่งเสริมตลาดหุ้น มาตรการส่งเสริมการลงทุน หรือการค้าการลงทุนระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อรักษาโมเมนตัม ดันเศรษฐกิจไทยปี 68 ให้เดินหน้าเติบโตถึงฝั่งฝันที่ 3%

จึงเสมือนเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของรัฐบาล หากเดินหน้าสำเร็จ ให้คนไทยกลับอยู่ดีกินดี ทำมาหาเลี้ยงชีพคล่องตัว รายได้เพิ่ม รายจ่ายลด ก็เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้รัฐบาลปัจจุบัน และเพิ่มแต้มต่อในการเลือกตั้งสมัยถัดไปได้ แต่ในทางกลับกัน หากรัฐบาลแจกเงินแล้ว แต่เศรษฐกิจไม่เคลื่อนที่ไปไหน คนจนอย่างท่วมประเทศเหมือนเดิม ก็มีหวังเรตติ้งที่ไม่ดีอยู่แล้ว จะแย่ลงอีกสิ้นมนต์ขลังยี่ห้อพ่อเลี้ยง ทักษิณ ชินวัตร ที่สะสมมาเนิ่นนาน ให้สลายตามไปด้วย

ค้นหาอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายกิจการอย่างเป็นทางการเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับข่าวระดับภูมิภาคล่าสุด ข้อมูลอัปเดตขององค์กร และประกาศอย่างเป็นทางการ โดยให้การรายงานที่เป็นกลางและข้อมูลเชิงลึกในกิจการขององค์กร

© ไทยนิวส์เอ็กซ์เพรส